พื้นฐานงานเชื่อมไฟฟ้า ในงานเชื่อมไฟฟ้า (Stick Welding) มักเป็นยาขมสำหรับมือใหม่ หลายคนเจอปัญหาลวดติด ชิ้นงานทะลุ หรือแนวเชื่อมไม่สวยเหมือนเกล็ดปลา แต่อย่าเพิ่งท้อใจครับ! เพราะช่างเชื่อมมืออาชีพทั่วโลกที่ใช้ลวดเชื่อมเขามี “สูตรลับ” ที่ใช้ท่องจำเพื่อเตือนสติตัวเองเสมอ สูตรนั้นมีชื่อย่อภาษาอังกฤษว่า CLAMS
เพื่อให้จำง่ายแบบไทยๆ เราจะเรียกมันว่า “เทคนิคหอยลาย” (เพราะ Clams แปลว่าหอยลายนั่นเอง) หากคุณเข้าใจ 5 ตัวแปรนี้ รับรองว่าฝีมือการเชื่อมของคุณจะพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดดแน่นอนครับ
หัวใจสำคัญของการเชื่อม: 5 ตัวแปร CLAMS คือ พื้นฐานงานเชื่อมไฟฟ้า
การควบคุม CLAMS จะช่วยให้แนวเชื่อมมีความสม่ำเสมอ แข็งแรง และสวยงาม มาดูกันว่าแต่ละตัวคืออะไรและต้องปรับอย่างไร:
1. C – Current (การปรับกระแสไฟ)
ตัวแรกคือหัวใจหลัก “กระแสไฟ” (Amperage) ทำหน้าที่ควบคุมความร้อนที่ป้อนเข้าไปในชิ้นงาน เปรียบเสมือนคันเร่งรถยนต์ที่ต้องเหยียบให้พอดี
- ถ้าปรับไฟต่ำเกินไป: ลวดเชื่อมจะอาร์กยาก จุดไม่ติด และมักจะ “ติด” หนึบกับชิ้นงาน (Sticking) แนวเชื่อมจะนูนสูงแต่ไม่ซึมลึก ทำให้รอยเชื่อมไม่แข็งแรง
- ถ้าปรับไฟสูงเกินไป: แนวเชื่อมจะเหลวเกินไป ควบคุมน้ำยากยาก เกิดเม็ดสแปตเตอร์ (Spatter) กระเด็นเลอะเทอะรุนแรง เสียงอาร์กจะดังแตกพร่า และอาจทำให้ชิ้นงานทะลุเสียหายได้

- เคล็ดลับ: ให้ดูข้างกล่องลวดเชื่อมเป็นเกณฑ์มาตรฐาน หรือใช้วิธีปรับเพิ่ม-ลดทีละ 5-10 แอมป์ จนกว่าจะได้เสียงอาร์กที่สม่ำเสมอ คล้ายเสียง “ทอดเบคอน”
2. L – Length of Arc (ระยะห่างการอาร์ก)
ระยะห่างระหว่าง “ปลายลวดเชื่อม” กับ “ชิ้นงาน” คือสิ่งที่มือใหม่มักพลาดมากที่สุด เพราะมือยังไม่นิ่ง
- กฎเหล็ก: ระยะห่างที่ดีที่สุดควร เท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางของแกนลวด ที่คุณใช้ (เช่น ใช้ลวด 3.2 มม. ก็ควรเว้นระยะห่างประมาณ 3 มม. จากผิวงาน)
- ถ้าระยะห่างมากเกินไป: เปลวอาร์กจะไม่นิ่ง วูบวาบ เกิดสะเก็ดไฟเยอะ แนวเชื่อมจะกว้างแต่ไม่สวย และควบคุมทิศทางไม่ได้
- ถ้าระยะห่างน้อยเกินไป: ลวดจะจิ้มติดชิ้นงาน ไฟดับ และอาจทำให้เครื่องเชื่อมตัดการทำงานชั่วคราว

3. A – Angle (องศาในการเชื่อม)
องศาของลวดเชื่อมส่งผลต่อรูปร่างของแนวเชื่อมและการมองเห็นบ่อหลอมละลาย แบ่งเป็น 2 มุมที่ต้องใส่ใจ:
- Work Angle (มุมงาน): โดยทั่วไปควรตั้งลวดให้ตั้งฉาก 90 องศากับแนวระนาบของชิ้นงาน (แต่หากเป็นงานเข้ามุมฉาก T-joint อาจต้องเอียง 30-50 องศา เพื่ออัดเนื้อเชื่อมเข้ามุม)
- Travel Angle (มุมเดิน): อย่าตั้งฉากเป๊ะๆ ตลอดเวลา ให้เอียงลวดไปในทิศทางที่จะเดินถอยหลังประมาณ 5 ถึง 15 องศา (เทคนิคแบบลาก หรือ Drag) การเอียงนี้ช่วยให้แรงดันอาร์กเป่าสแลก (ขี้เชื่อม) ไปด้านหลัง ไม่ให้ไหลมาทับบ่อเชื่อมด้านหน้า

4. M – Manipulation (การส่ายลวดเชื่อม)
การขยับมือหรือส่ายลวด ช่วยควบคุมขนาดและความนูนของแนวเชื่อม รวมถึงช่วยให้เนื้อเชื่อมเกาะกันแน่นขึ้น
- เหล็กบาง (ต่ำกว่า 6 มม.): อาจไม่จำเป็นต้องส่ายลวดมากนัก แค่เดินเป็นเส้นตรงนิ่งๆ (Stringer bead) ก็เพียงพอแล้ว เพื่อไม่ให้ความร้อนสะสมจนงานทะลุ
- เหล็กหนา: ต้องมีการส่ายลวด เพื่อขยายแนวเชื่อมให้กว้างขึ้นและกระจายความร้อน รูปแบบยอดนิยมคือ แบบซิกแซก (Z), แบบครึ่งวงกลม หรือแบบก้าวแล้วหยุด (Stutter-step)
- ข้อควรระวัง: อย่าส่ายกว้างเกินไป ควรคุมความกว้างไม่ให้เกิน 2-3 เท่าของขนาดแกนลวด ไม่อย่างนั้นแนวเชื่อมจะไม่แข็งแรง

5. S – Speed (ความเร็วในการเดินแนว)
ความเร็วในการลากลวดเชื่อมเป็นตัวแปรสุดท้ายที่ตัดสินความสวยงามของ “เกล็ด” แนวเชื่อม
- เร็วเกินไป: แนวเชื่อมจะลีบเล็ก ผอม แบน และไม่ซึมลึก (Undercut) เพราะความร้อนถ่ายเทไม่ทัน เหมือนเอาน้ำราดผ่านๆ
- ช้าเกินไป: แนวเชื่อมจะนูนเป็นหลังเต่า กว้างเทอะทะ สิ้นเปลืองลวด และความร้อนสะสมมากเกินไปอาจทำให้ชิ้นงานบิดงอหรือทะลุ
- เคล็ดลับ: ให้สังเกตที่ “บ่อหลอมละลาย” (Weld Pool) พยายามรักษาความเร็วให้บ่อหลอมตามหลังลวดมาอยู่ประมาณ 1/3 ของเปลวอาร์กเสมอ อย่าเดินเร็วจนบ่อหลอมตามไม่ทัน

4 เรื่องจริงที่ “มือใหม่หัดเชื่อม” ต้องรู้เพิ่มเติม (นอกเหนือจากทฤษฎี)
รู้เทคนิค CLAMS แล้ว แต่ถ้าขาดความเข้าใจใน 4 เรื่องนี้ การเชื่อมก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จครับ:
1. “สายดิน” คือเรื่องใหญ่ที่ห้ามมองข้าม
มือใหม่หลายคนคีบสายดิน (Ground Clamp) ไว้ตรงไหนก็ได้ ขอแค่ให้หนีบได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด!
- จุดที่คีบต้องสะอาด: ต้องคีบบนเนื้อเหล็กที่สะอาด ไม่มีสี ไม่มีสนิม และไม่มีน้ำมัน เพราะกระแสไฟเดินไม่สะดวกจะทำให้การอาร์กสะดุด ไฟไม่นิ่ง และลวดติดง่าย
- คีบให้ใกล้: ควรคีบสายดินให้ใกล้จุดที่จะเชื่อมมากที่สุด เพื่อให้กระแสไฟไหลเวียนได้ดีที่สุด
2. ท่าทางสำคัญกว่าเครื่องมือ
ก่อนจะกดเชื่อม ให้ลองซ้อมวาดมือดูก่อน (Dry Run) ว่าถ้าเราลากมือไปจนสุดแนว แขนเราจะติดขัดไหม
- จับสองมือ: มือใหม่ควรใช้มือข้างหนึ่งจับด้ามเชื่อม และมืออีกข้างช่วยประคองด้าม (ระวังอย่าจับโดนส่วนที่ร้อน) เพื่อลดอาการมือสั่น
- ผ่อนคลาย: อย่าเกร็งไหล่หรือกลั้นหายใจขณะเชื่อม เพราะจะทำให้มือสั่น ควบคุมแนวเชื่อมยาก ให้หายใจเข้าออกปกติ
3. การดู “บ่อหลอม” ไม่ใช่ดู “แสงไฟ”
ข้อผิดพลาดสุดคลาสสิกคือ มือใหม่มักจะจ้องไปที่แสงจ้าๆ ของการอาร์ก
- สิ่งที่ต้องมอง: ให้มองผ่านแสงจ้าลงไปดู “บ่อเหล็กเหลวๆ” ที่กำลังเดือดอยู่หลังปลายลวดเชื่อม หน้าที่ของคุณคือควบคุมบ่อเหลวนี้ให้มีขนาดเท่าเดิมตลอดแนวการเดิน ไม่ใช่แค่ลากให้มีแสงไฟเฉยๆ
4. อย่าเพิ่งตัดสินงานเชื่อม จนกว่าจะเคาะสแลก
สำหรับงานเชื่อมไฟฟ้า (Stick Welding) เมื่อเชื่อมเสร็จจะมีคราบขี้เชื่อมหรือ “สแลก” (Slag) ปกคลุมแนวเชื่อมอยู่
- อย่าเพิ่งตกใจว่าแนวเชื่อมดูไม่สวย หรือดูขรุขระ ให้รอเย็นลงนิดนึงแล้วใช้ค้อนเคาะสแลกออกให้หมด แล้วใช้แปรงลวดขัดซ้ำ คุณอาจจะพบว่าเนื้อเหล็กข้างในสวยงามกว่าที่คิดครับ (และอย่าลืมใส่แว่นตานิรภัยตอนเคาะสแลกเสมอ เพราะเศษมักจะกระเด็นเข้าตา)
บทสรุป: เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง คือต้องมี พื้นฐานงานเชื่อมไฟฟ้า
แม้ว่าคุณจะแม่นทฤษฎี CLAMS แค่ไหน แต่ถ้า “การเตรียมงาน” ไม่ดี งานเชื่อมก็พังได้ครับ ก่อนเชื่อมทุกครั้งต้องทำความสะอาดผิวงานให้ปราศจาก สนิม น้ำมัน และสิ่งสกปรก เพราะสิ่งเหล่านี้คือศัตรูตัวร้ายที่ทำให้แนวเชื่อมเกิดฟองอากาศและรอยร้าว
ลองนำเทคนิค “หอยลาย” (CLAMS) และข้อควรระวังสำหรับมือใหม่ไปฝึกฝนดูนะครับ:
- C – ไฟพอดี (ฟังเสียงทอดเบคอน)
- L – ระยะห่างเท่าขนาดลวด
- A – เอียงลวดนิดหน่อย (ลากถอยหลัง)
- M – ส่ายมือให้เหมาะสม
- S – เดินเร็วให้สม่ำเสมอ (ดูบ่อหลอม)
เริ่มฝึกจากจุดนี้ แล้วคุณจะพบว่างานเชื่อมไฟฟ้า เป็นงานศิลปะที่สนุกและไม่ได้ยากอย่างที่คิดครับ!
เรียบเรียงโดย: ทีมงาน ThaiTool









