หยุดสงสัย! IP Code คืออะไร? ไขปริศนาตัวเลขบนอุปกรณ์ไฟฟ้าของคุณ!

ip-code-reading

เคยสงสัยไหมว่าตัวเลข “IP” (IP Code) ที่อยู่บนเครื่องมือไฟฟ้า รอกสลิงไฟฟ้า โคมไฟ หรือแม้แต่สมาร์ทโฟนของคุณหมายถึงอะไร? มันไม่ใช่แค่รหัสลับอะไรบางอย่าง แต่มันคือ IP Code (Ingress Protection Code) หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “มาตรฐานการป้องกันสิ่งแปลกปลอม” ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่บอกเราว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าชิ้นนั้นๆ สามารถทนทานต่อฝุ่น ของแข็ง และน้ำได้มากแค่ไหน

IP Code

IP Code สำคัญอย่างไร ทำไมต้องรู้ และ รอกสลิงไฟฟ้า IP54 ป้องกันอะไรได้บ้าง?

ในยุคที่เราใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าในชีวิตประจำวันแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในบ้าน นอกบ้าน หรือแม้แต่ในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายอย่างโรงงานอุตสาหกรรม การรู้ว่าอุปกรณ์ของเรามีการป้องกันในระดับใดจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันช่วยให้เรา:

  1. เลือกใช้อุปกรณ์ได้ถูกต้อง: ไม่ต้องเดาอีกต่อไปว่าหลอดไฟที่ซื้อมาจะกันน้ำได้ไหม หรือสว่านไฟฟ้าจะใช้ในที่ที่มีฝุ่นเยอะๆ ได้รึเปล่า
  2. ยืดอายุการใช้งาน: การใช้อุปกรณ์ให้ถูกกับสภาพแวดล้อมจะช่วยป้องกันความเสียหายจากฝุ่น น้ำ หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ทำให้อุปกรณ์ของเราอยู่กับเราไปนานๆ
  3. ความปลอดภัย: อุปกรณ์ที่ป้องกันได้ดีจะช่วยลดความเสี่ยงจากการลัดวงจร ไฟฟ้าช็อต หรืออันตรายอื่นๆ ที่เกิดจากสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในอุปกรณ์

เจาะลึก IP Code: ตัวเลขสองหลักบอกอะไรเราบ้าง?

IP Code จะประกอบด้วยตัวอักษร “IP” ตามด้วยตัวเลขสองหลัก (เช่น IP67, IP44) ตัวเลขแต่ละตัวมีความหมายแยกกันชัดเจน:

หลักที่ 1: การป้องกันของแข็งและฝุ่น (Solid Protection)

ตัวเลขหลักแรกจะบอกเราว่าอุปกรณ์นั้นสามารถป้องกันการเข้าถึงของของแข็งและฝุ่นได้ในระดับใด ยิ่งตัวเลขสูง การป้องกันก็ยิ่งดี:

  • 0: ไม่มีการป้องกันเลย
  • 1: ป้องกันของแข็งขนาดใหญ่กว่า 50 มม. (เช่น นิ้วมือที่สัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ)
  • 2: ป้องกันของแข็งขนาดใหญ่กว่า 12.5 มม. (เช่น นิ้วมือ)
  • 3: ป้องกันของแข็งขนาดใหญ่กว่า 2.5 มม. (เช่น เครื่องมือขนาดเล็ก สายไฟ)
  • 4: ป้องกันของแข็งขนาดใหญ่กว่า 1 มม. (เช่น ลวดขนาดเล็ก แมลงตัวเล็ก)
  • 5: ป้องกันฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง (Dust Protected) ฝุ่นสามารถเข้าไปได้บ้าง แต่ไม่มากพอที่จะทำให้เครื่องมือเสียหายหรือทำงานผิดปกติ
  • 6: ป้องกันฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์ (Dust Tight) ไม่มีฝุ่นสามารถเข้าไปภายในเครื่องมือได้เลย

หลักที่ 2: การป้องกันของเหลวและน้ำ (Liquid Protection)

ตัวเลขหลักที่สองจะบอกเราว่าอุปกรณ์นั้นสามารถป้องกันการซึมผ่านของน้ำและของเหลวได้ในระดับใด ยิ่งตัวเลขสูง การป้องกันก็ยิ่งดีเช่นกัน:

  • 0: ไม่มีการป้องกันเลย
  • 1: ป้องกันน้ำหยดในแนวดิ่ง (เช่น น้ำที่หยดลงมาตรงๆ)
  • 2: ป้องกันน้ำหยดเมื่อเอียงทำมุมไม่เกิน 15 องศา (เช่น น้ำที่หยดเมื่ออุปกรณ์เอียงเล็กน้อย)
  • 3: ป้องกันน้ำสเปรย์ (น้ำที่พ่นใส่จากทิศทางใดก็ได้ในมุมไม่เกิน 60 องศา)
  • 4: ป้องกันน้ำกระเซ็น (น้ำที่กระเซ็นใส่จากทิศทางใดก็ได้)
  • 5: ป้องกันน้ำฉีดจากหัวฉีด (น้ำที่ฉีดด้วยแรงดันต่ำ เช่น จากสายยาง)
  • 6: ป้องกันน้ำฉีดด้วยแรงดันสูง (น้ำที่ฉีดด้วยแรงดันสูง เช่น จากเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง)
  • 7: ป้องกันการจมน้ำชั่วคราว (สามารถจมน้ำลึกไม่เกิน 1 เมตร ได้นานสูงสุด 30 นาที)
  • 8: ป้องกันการจมน้ำแบบต่อเนื่อง (สามารถจมน้ำได้นานและลึกกว่า IPX7 ตามที่ผู้ผลิตกำหนด)
  • 9K: ป้องกันน้ำฉีดด้วยแรงดันสูงและอุณหภูมิสูง (ไม่ค่อยพบในเครื่องมือไฟฟ้าทั่วไป)

ตัวอย่างการอ่านค่า IP Code:

  • IP44:
    • “4” ตัวแรก: ป้องกันของแข็งที่มีขนาดตั้งแต่ 1 มม. ขึ้นไป
    • “4” ตัวที่สอง: ป้องกันน้ำกระเซ็นจากทิศทางใดก็ได้
    • เหมาะสำหรับ: อุปกรณ์ที่ใช้ภายในอาคารทั่วไป หรือนอกอาคารที่ไม่มีโอกาสโดนน้ำฉีดโดยตรง
  • IP67:
    • “6” ตัวแรก: ป้องกันฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์ (Dust Tight)
    • “7” ตัวที่สอง: ป้องกันการจมน้ำชั่วคราว (สามารถจมน้ำลึก 1 เมตร ได้นานสูงสุด 30 นาที)
    • เหมาะสำหรับ: สมาร์ทโฟนบางรุ่น อุปกรณ์ที่ต้องใช้งานในพื้นที่ที่มีฝุ่นมาก หรือมีความเสี่ยงที่จะตกน้ำ
  • IPX5:
    • “X” ตัวแรก: หมายถึงไม่ได้ระบุระดับการป้องกันของแข็ง หรือไม่ได้ทำการทดสอบการป้องกันของแข็ง
    • “5” ตัวที่สอง: ป้องกันน้ำฉีดจากหัวฉีดด้วยแรงดันต่ำ
    • เหมาะสำหรับ: อุปกรณ์ที่ต้องทนต่อน้ำฝน หรือการทำความสะอาดด้วยการฉีดน้ำเบาๆ แต่ไม่เน้นการป้องกันฝุ่น

ข้อควรรู้เพิ่มเติม:

  • “X” ใน IP Code: ถ้าเห็นตัวอักษร “X” แทนตัวเลข นั่นหมายความว่าไม่ได้ระบุระดับการป้องกันในส่วนนั้น หรือไม่ได้ทำการทดสอบ
  • เลือกให้เหมาะสม: ไม่จำเป็นต้องเลือกอุปกรณ์ที่มี IP Code สูงที่สุดเสมอไป เพราะยิ่ง IP Code สูง ราคาก็อาจจะสูงขึ้นตามไปด้วย เลือกให้เหมาะกับการใช้งานจริงจะดีที่สุดครับ
  • ศึกษาข้อมูลจากผู้ผลิต: แม้ IP Code จะเป็นมาตรฐานสากล แต่ก็ควรศึกษาคู่มือการใช้งานและคำแนะนำจากผู้ผลิตเพิ่มเติม เพื่อการใช้งานที่ถูกต้องและปลอดภัยที่สุด

การทำความเข้าใจ IP Code เป็นเรื่องง่ายๆ แต่มีประโยชน์มหาศาลในการเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับงานและสภาพแวดล้อม ช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ของเราจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยไปอีกนาน แล้วอุปกรณ์ไฟฟ้าของคุณมี IP Code เท่าไหร่กันบ้าง ลองสังเกตดูนะครับ!

ใส่ความเห็น