การเชื่อมโครงสร้างเหล็ก โดยเฉพาะงานเชื่อมเหล็กเสาต่อคาน หรือเชื่อมเหล็กอะเส ที่มีความหนาบาง การใช้ท่าเชื่อมแนวตั้งลากลง (Vertical Down) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้การทำงานรวดเร็วและลดความเสี่ยงต่อการไหม้ทะลุของชิ้นงาน เนื่องจากโลหะเชื่อมไหลลงตามแรงโน้มถ่วง ทำให้แนวเชื่อมเรียบเนียนและกระเด็นน้อย อีกทั้งยังเหมาะสำหรับเหล็กที่มีความหนาไม่เกิน 3 มม. เพราะช่วยลดการสะสมความร้อนมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ชิ้นงานบิดงอหรือเกิดความเสียหายได้ การเลือกใช้ท่านี้จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการทั้งความรวดเร็วและคุณภาพของแนวเชื่อม
ลวดเชื่อมไฟฟ้าเหล็กเหนียวเดอะซัน-33 หรือ E6013
ลวดเชื่อมเดอะซัน-33 หรือ E6013 เป็นลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ประเภทเซลลูโลส-รูไทล์ เหมาะสำหรับการเชื่อมเหล็กเหนียวที่มีความหนาปานกลางถึงบาง โดยมีคุณสมบัติเด่นดังนี้:
- จุดอาร์กติดง่าย และให้แนวเชื่อมที่เรียบเนียน
- กระเด็นน้อย และควบคุมได้ง่าย เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการความสะอาด
- สามารถใช้ได้กับกระแสไฟ AC และ DC ทำให้ใช้งานสะดวก
- เหมาะกับการเชื่อมแนวตั้งแบบลากลง (Vertical Down) เนื่องจากให้แนวเชื่อมที่ไหลได้ดี และไม่เกิดการสะสมของโลหะเชื่อมมากเกินไป
เหตุผลที่แนวเชื่อม Vertical Down เหมาะกับเหล็กหนาไม่เกิน 3 มม.
การเชื่อมแนวตั้งสามารถทำได้สองวิธี คือ Vertical Up (ลากขึ้น) และ Vertical Down (ลากลง) โดยสำหรับเหล็กบางที่มีความหนาไม่เกิน 3 มม. แนวเชื่อมแบบลากลงมีข้อดีที่สำคัญ ได้แก่:
- ลดโอกาสการไหม้ทะลุ (Burn-through)
- เหล็กบางมีความเสี่ยงสูงที่จะไหม้ทะลุหากใช้พลังงานเชื่อมมากเกินไป
- การเชื่อม Vertical Down ใช้กระแสไฟต่ำกว่าและอัตราการไหลของแนวเชื่อมเร็วกว่า ลดความร้อนสะสมในชิ้นงาน
- เพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน
- แนวเชื่อม Vertical Down มีความเร็วในการเชื่อมสูงกว่าแนวลากขึ้น ทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น
- ลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตั้งโครงสร้าง
- ได้แนวเชื่อมที่เรียบเนียน
- ลวดเชื่อม E6013 มีฟลักซ์ที่ช่วยให้แนวเชื่อมออกมาสวยงามโดยไม่ต้องแต่งแนวเชื่อมมาก
- ลดปัญหาการเกิดรูพรุนและการสะสมของโลหะเชื่อมมากเกินไป
เทคนิคและข้อแนะนำในการเชื่อม
- เลือกขนาดลวดเชื่อมให้เหมาะสม
- สำหรับเหล็กหนา 1.5 – 3 มม. แนะนำให้ใช้ลวดเชื่อมขนาด 2.6 มม.
- ใช้กระแสไฟประมาณ 40 – 80 แอมป์ ขึ้นอยู่กับความหนาของเหล็กและขนาดลวด
- ตั้งค่ากระแสไฟให้เหมาะสม
- ใช้กระแสไฟต่ำกว่าการเชื่อมแนวขึ้นเพื่อลดการละลายมากเกินไป
- ทดสอบแนวเชื่อมบนเศษวัสดุก่อนเริ่มงานจริง
- ควบคุมมุมและความเร็วของการเชื่อม
- จับลวดเชื่อมทำมุมประมาณ 15-20 องศา ไปตามแนวเชื่อม
- ควบคุมความเร็วให้เหมาะสม ไม่เร็วเกินไปจนแนวเชื่อมบาง และไม่ช้าเกินไปจนเกิดการสะสมของโลหะเชื่อมมาก
- เตรียมพื้นผิวชิ้นงานให้สะอาด
- ลบรอยสนิม สี และน้ำมันออกจากบริเวณที่จะเชื่อมเพื่อให้แนวเชื่อมติดแน่นและแข็งแรง
สรุป
✅ ลวดเชื่อมเดอะซัน-33 หรือ E6013 เหมาะสำหรับงานเชื่อมเหล็กบาง (≤3 มม.) ✅ เทคนิค Vertical Down ช่วยลดปัญหาการไหม้ทะลุและเพิ่มความเร็วในการเชื่อม ✅ ควบคุมกระแสไฟและมุมเชื่อมให้เหมาะสมเพื่อให้ได้แนวเชื่อมที่แข็งแรงและเรียบเนียน
หมายเหตุ: การเลือกใช้ลวดเชื่อมและเทคนิคที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้งานเชื่อมมีคุณภาพ หากเป็นโครงสร้างที่ต้องรับแรงมาก อาจต้องพิจารณาเทคนิคเสริม เช่น การเชื่อมเป็นชั้นบาง ๆ หรือใช้การเชื่อมเป็นจุดก่อนเชื่อมเต็มแนวเพื่อป้องกันการบิดงอของชิ้นงาน
ช่างบางคนอาจใช้เทคนิค เชื่อมแต้มเป็นจุด แล้วยกขึ้น ต่อเนื่องเป็นแนว จากล่างขึ้นบน หรือ บนลงล่าง นั้นใช้ทดแทนได้หรือไม่
การเชื่อมแต้มเป็นจุด (Tack Welding) แล้วยกขึ้นต่อเนื่องเป็นแนว จากล่างขึ้นบน (Vertical Up) หรือบนลงล่าง (Vertical Down) เป็นเทคนิคที่ช่างบางคนใช้เพื่อทดแทนการเชื่อมต่อเนื่องในท่าเดียว (Continuous Welding) โดยแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน ดังนี้:
- การเชื่อมแต้มเป็นจุดแล้วยกขึ้นต่อเนื่อง (Vertical Up หรือ Vertical Down)
ข้อดี
– ลดความร้อนสะสม: การเชื่อมแต้มเป็นจุดช่วยลดความร้อนที่ส่งผ่านสู่ชิ้นงาน ป้องกันการไหม้ทะลุ (Burn-through) และการบิดงอ (Warping) โดยเฉพาะในงานโลหะบาง
– ควบคุมบ่อหลอมเหลวได้ดี: การเชื่อมเป็นจุดช่วยให้ช่างมีเวลาปรับตำแหน่งและควบคุมการไหลของโลหะหลอมเหลวได้ดีขึ้น
– เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง: เช่น การเชื่อมต่อโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงเฉพาะจุด
ข้อเสีย
– ใช้เวลานาน: การเชื่อมแต้มเป็นจุดแล้วยกขึ้นต่อเนื่องต้องใช้เวลาและความอดทนมากกว่าการเชื่อมต่อเนื่อง
– เสี่ยงต่อการเกิดข้อบกพร่อง: หากจุดเชื่อมไม่ต่อเนื่องกันดีพอ อาจเกิดรอยแหว่ง (Undercut) หรือช่องว่าง (Gaps) ในแนวเชื่อม
– ความแข็งแรงลดลง: การเชื่อมแต้มเป็นจุดอาจทำให้รอยเชื่อมไม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ความแข็งแรงของรอยเชื่อมลดลง
- การเชื่อมต่อเนื่องท่าตั้งลากลง (Vertical Down)
ข้อดี
– รวดเร็ว: การเชื่อมต่อเนื่องในท่าตั้งลากลงใช้เวลาน้อยกว่า เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็ว
– ควบคุมบ่อหลอมเหลวได้ดี: แรงโน้มถ่วงช่วยให้โลหะหลอมเหลวไหลลงด้านล่างตามทิศทางการเชื่อม
– เหมาะกับงานบาง (≤ 3 มม.): ช่วยลดความร้อนสะสมและป้องกันการไหม้ทะลุ
ข้อเสีย
– เสี่ยงต่อการไหลล้นของสแลก (Slag Overrun): หากควบคุมความเร็วไม่ดีพอ
– ต้องการทักษะสูง: ต้องควบคุมระยะอาร์คและความเร็วในการเชื่อมให้เหมาะสม
- การเชื่อมต่อเนื่องท่าตั้งดันขึ้น (Vertical Up)
ข้อดี
– ความแข็งแรงสูง: การเชื่อมท่าตั้งดันขึ้นให้การซึมลึก (Penetration) ที่ดีกว่า ทำให้รอยเชื่อมแข็งแรง
– เหมาะกับงานหนา (> 3 มม.): ช่วยป้องกันการเกิดรอยแหว่ง (Undercut) และควบคุมบ่อหลอมเหลวได้ดี
ข้อเสีย
– ใช้เวลานาน: ต้องเชื่อมช้าและระมัดระวังมากขึ้น
– เสี่ยงต่อการสะสมความร้อน: อาจทำให้ชิ้นงานบิดงอหรือไหม้ทะลุได้หากควบคุมความร้อนไม่ดี
- การจัดลำดับความเหมาะสม
จากข้อดีและข้อเสียข้างต้น สามารถจัดลำดับความเหมาะสมของท่าเชื่อมได้ดังนี้:
งานบาง (≤ 3 มม.)
- ท่าตั้งลากลง (Vertical Down): รวดเร็วและควบคุมบ่อหลอมเหลวได้ดี
- เชื่อมแต้มเป็นจุดแล้วยกขึ้นต่อเนื่อง (Vertical Up หรือ Vertical Down): เหมาะหากต้องการลดความร้อนสะสม
- ท่าตั้งดันขึ้น (Vertical Up): ไม่ค่อยเหมาะกับงานบาง เนื่องจากเสี่ยงต่อการสะสมความร้อน
งานหนา (> 3 มม.)
- ท่าตั้งดันขึ้น (Vertical Up): ให้ความแข็งแรงสูงและควบคุมบ่อหลอมเหลวได้ดี
- เชื่อมแต้มเป็นจุดแล้วยกขึ้นต่อเนื่อง (Vertical Up): เหมาะหากต้องการความแม่นยำสูง
- ท่าตั้งลากลง (Vertical Down): ไม่ค่อยเหมาะกับงานหนา เนื่องจากเสี่ยงต่อการไหลล้นของสแลก
- สรุป
– ท่าตั้งลากลง (Vertical Down): เหมาะที่สุดสำหรับงานบาง (≤ 3 มม.) เนื่องจากรวดเร็วและควบคุมบ่อหลอมเหลวได้ดี
– เชื่อมแต้มเป็นจุดแล้วยกขึ้นต่อเนื่อง: เหมาะสำหรับงานที่ต้องการลดความร้อนสะสมหรือต้องการความแม่นยำสูง แต่ใช้เวลานานและเสี่ยงต่อข้อบกพร่อง
– ท่าตั้งดันขึ้น (Vertical Up): เหมาะที่สุดสำหรับงานหนา (> 3 มม.) เนื่องจากให้ความแข็งแรงสูง
หมายเหตุ: การเลือกท่าเชื่อมให้เหมาะสมกับลักษณะงานและทักษะของช่าง เพื่อให้ได้รอยเชื่อมที่แข็งแรงและสวยงามที่สุด ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเช่นกัน