ควันเชื่อมช่างเชื่อมทุกคนต้องเจอ เนื่องจากกระบวนการเชื่อมจำเป็นต้องมีเพราะมีความร้อนสูงเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดควัน ซึ่งควันเชื่อมที่เรียกกันจะประกอบไปด้วย 2 ส่วน ควันที่เกิดจากการเผาไหม้(เห็นด้วยตาเปล่า) และ ควันไอระเหย และก๊าซ (อาจไม่เห็นด้วยตาเปล่า) ไม่ว่าควันเกิดจากอะไรก็คงต้องทางป้องกันอย่างเพียงพอเสมอ และ หาความรู้ในการป้องกันด้วย
กระบวนการเชื่อมแบ่งออกเป็นสองกลุ่มดังนี้
กลุ่มแรก คือการเชื่อมฟิวชั่นซึ่งเป็นความร้อนเพียงอย่างเดียว โดยมากแล้วจะเป็นการ อาร์คไฟฟ้า ก๊าซ และ ความร้อน
กลุ่มสอง คือ การเชื่อมความดันซึ่งใช้ความร้อนและความดัน
รูปแบบการเชื่อมเหล่านี้ทั้งหมดจะผลิตควันที่สามารถมองเห็นได้ หรืออาจไม่เห็น ซึ่งมีควันโลหะที่เป็นอันตรายและก๊าซ
OSHA ระบุว่า
“ควันเชื่อม FUME ประกอบด้วยโลหะหลากหลายชนิดรวมถึงอลูมิเนียมสารหนูเบริลเลียมตะกั่วและแมงกานีส อาร์กอนไนโตรเจนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คาร์บอนมอนอกไซด์และก๊าซไฮโดรเจนฟลูออไรด์มักเกิดขึ้นในระหว่างการเชื่อม”
ปัญหาสุขภาพ
ควันเชื่อมอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงสำหรับคนงานหากสูดดม อ้างอิงจาก OSHA การได้รับสัมผัสสารในระยะสั้นอาจส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้เวียนศีรษะหรือตาจมูกและการระคายเคืองในลำคอ การได้รับควันจากการเชื่อมเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดมะเร็งในปอด, กล่องเสียงและทางเดินปัสสาวะ, รวมถึงระบบประสาทและไตถูกทำลาย ก๊าซบางชนิดเช่นฮีเลียมคาร์บอนไดออกไซด์และอาร์กอนแทนที่ออกซิเจนและอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการหายใจไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ปิดอากาศไม่ถ่ายเท
เคล็ดลับจาก OSHA: ลดความเสี่ยงจากควันและก๊าซเชื่อม เพื่อความปลอดภัยของช่างเชื่อม
การเชื่อมเป็นกระบวนการที่จำเป็นในหลายอุตสาหกรรม แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงด้านสุขภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการสัมผัสกับควันและก๊าซเชื่อมที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต องค์การบริหารความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติ (OSHA) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการปกป้องช่างเชื่อมจากอันตรายเหล่านี้ และได้เสนอแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อลดระดับการสัมผัสควันและก๊าซจากการเชื่อมให้เหลือน้อยที่สุด บทความนี้จะเจาะลึกถึงประเด็นสำคัญที่ OSHA เน้นย้ำ เพื่อให้ช่างเชื่อมและนายจ้างตระหนักถึงอันตรายและนำแนวทางไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
1. ทำความเข้าใจอันตรายของควัน ไอระเหย และแสงเชื่อมอย่างถ่องแท้
ก่อนที่จะหาวิธีป้องกัน เราต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่เรากำลังป้องกัน ควันเชื่อมไม่ใช่แค่ “ควัน” ทั่วไป แต่เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่เกิดจากการระเหยของโลหะ ฟลักซ์ และสารเคลือบผิวต่าง ๆ ในระหว่างกระบวนการเชื่อม อนุภาคเหล่านี้มีขนาดเล็กมากจนสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนลึกได้ง่าย และมักปนเปื้อนด้วยสารเคมีอันตรายหลายชนิด เช่น เหล็ก แมงกานีส โครเมียม นิกเกิล สังกะสี และแคดเมียม สารเหล่านี้สามารถทำให้เกิดปัญหาสุขภาพเฉียบพลันและเรื้อรังได้มากมาย ตั้งแต่การระคายเคืองตา จมูก ลำคอ ไปจนถึงโรคปอดเรื้อรัง (เช่น โรคปอดบวมจากโลหะ), ความเสียหายต่อระบบประสาท, ความผิดปกติของไต, และแม้กระทั่งมะเร็ง
นอกจากควันแล้ว ไอระเหยจากก๊าซป้องกัน (เช่น อาร์กอน ฮีเลียม คาร์บอนไดออกไซด์) หรือก๊าซที่เกิดจากปฏิกิริยาของความร้อนกับสารเคลือบผิว (เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ โอโซน ไนโตรเจนไดออกไซด์) ก็เป็นอันตรายเช่นกัน ก๊าซเหล่านี้บางชนิดสามารถแทนที่ออกซิเจนในอากาศ ทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนได้ ในขณะที่บางชนิดเป็นพิษโดยตรงต่อร่างกาย
แสงเชื่อม ไม่ว่าจะเป็นแสงอัลตราไวโอเลต (UV), แสงอินฟราเรด (IR) หรือแสงที่มองเห็นได้ ก็เป็นอันตรายต่อดวงตาและผิวหนัง แสง UV สามารถทำให้เกิด “ตาไหม้จากแสงเชื่อม” (arc eye) ซึ่งเป็นการอักเสบของกระจกตาที่เจ็บปวดอย่างรุนแรง และการสัมผัสเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ต้อกระจกและปัญหาการมองเห็นอื่น ๆ ส่วนแสง IR อาจทำให้เกิดการทำลายจอประสาทตาและเลนส์ตาได้ การทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับอันตรายเหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญในการตระหนักถึงความจำเป็นในการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด
2. ทำความสะอาดพื้นผิวการเชื่อมเป็นประจำเพื่อกำจัดสารเคลือบผิว
พื้นผิวโลหะมักมีการเคลือบด้วยสารต่าง ๆ เช่น สี สังกะสีเคลือบ ไพรเมอร์ น้ำมัน หรือสารกันสนิม สารเคลือบเหล่านี้เมื่อได้รับความร้อนจากการเชื่อมจะสลายตัวและปล่อยควันและก๊าซพิษออกมาในปริมาณที่สูงกว่าปกติ ตัวอย่างเช่น การเชื่อมเหล็กชุบสังกะสีจะปล่อยควันสังกะสีออกมาจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุของ “ไข้ควันโลหะ” (metal fume fever) ที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ การเชื่อมชิ้นงานที่ทาสีก็เช่นกัน สีหลายชนิดมีส่วนผสมของโลหะหนักหรือสารเคมีที่เป็นอันตราย เมื่อเผาไหม้จะกลายเป็นควันพิษที่สามารถทำลายระบบทางเดินหายใจและอวัยวะภายในได้
ดังนั้น การทำความสะอาดพื้นผิวการเชื่อมก่อนลงมือทำงานจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การกำจัดสารเคลือบผิวเหล่านี้ออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการขัด การเจียร หรือการใช้สารเคมีล้าง จะช่วยลดปริมาณควันและก๊าซพิษที่เกิดขึ้นในระหว่างการเชื่อมได้อย่างมาก ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของช่างเชื่อมเท่านั้น แต่ยังช่วยให้งานเชื่อมมีคุณภาพดีขึ้นด้วย เพราะการปนเปื้อนของสารเคลือบผิวสามารถส่งผลต่อคุณสมบัติของแนวเชื่อมได้
3. อยู่เหนือลมของควันเชื่อมเมื่อทำงานในพื้นที่เปิดหรือกลางแจ้ง
แม้จะทำงานกลางแจ้งหรือในพื้นที่เปิดกว้าง การระบายอากาศตามธรรมชาติก็ไม่ได้รับประกันความปลอดภัยเสมอไป ลมสามารถพัดพาควันเชื่อมกลับมายังตัวช่างเชื่อมได้ง่าย ทำให้ยังคงมีการสัมผัสกับสารพิษ การยืน “เหนือลม” ของควันเชื่อมหมายถึงการยืนในตำแหน่งที่ลมพัดควันออกไปจากตัวช่างเชื่อม เพื่อลดการสูดดมควันโดยตรง ซึ่งเป็นหลักการง่ายๆ แต่มีประสิทธิภาพในการลดการสัมผัสสารพิษ
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ การทำงานกลางแจ้งหรือในสภาพแวดล้อมการทำงานแบบเปิดไม่ได้รับประกันการระบายอากาศที่ปลอดภัย ลมอาจมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางได้ตลอดเวลา หรือในวันที่ลมสงบ ควันเชื่อมก็อาจลอยขึ้นไปในอากาศและยังคงเป็นอันตรายอยู่ดี ดังนั้น การพึ่งพาเพียงแค่ทิศทางลมจึงไม่เพียงพอ การสวมใส่เครื่องป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ที่เหมาะสม เช่น หน้ากากป้องกันฝุ่นหรือหน้ากากเชื่อมพร้อมระบบกรองอากาศ ยังคงต้องดำเนินการเสมอ ไม่ว่าจะทำงานในสภาพแวดล้อมใดก็ตาม
4. ใช้ระบบระบายอากาศเฉพาะที่สำหรับการเชื่อมภายในอาคาร
เมื่อทำงานภายในอาคาร โดยเฉพาะในพื้นที่ปิดหรือกึ่งปิด การระบายอากาศตามธรรมชาติไม่เพียงพอต่อการกำจัดควันและก๊าซเชื่อม ระบบระบายอากาศเฉพาะที่ (Local Exhaust Ventilation: LEV) เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง LEV ทำงานโดยการดูดควันและก๊าซพิษออกจากแหล่งกำเนิดโดยตรง ก่อนที่ควันเหล่านั้นจะแพร่กระจายไปในอากาศและถูกสูดดมเข้าไป ระบบ LEV มีหลายรูปแบบ เช่น ฮูดดูดควันแบบเคลื่อนที่ได้ (fume extractor) หรือระบบดูดควันแบบติดตั้งถาวร
สิ่งสำคัญในการใช้ระบบ LEV คือ ต้องแน่ใจว่าท่อที่ปล่อยไอเสียอยู่ห่างจากคนงานคนอื่น การดูดควันออกจากพื้นที่เชื่อมแล้วไปปล่อยใกล้กับคนงานคนอื่น ๆ เป็นการย้ายปัญหามากกว่าการแก้ปัญหา ควรมีการวางแผนการติดตั้งและตำแหน่งการปล่อยไอเสียอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าอากาศเสียถูกระบายออกไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัย และไม่ส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่นในบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ ควรมีการบำรุงรักษาระบบ LEV อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
5. อย่าเชื่อมในพื้นที่จำกัดที่ไม่มีการระบายอากาศ
พื้นที่จำกัด (confined spaces) เช่น ถังเก็บ แท็งก์ ท่อขนาดใหญ่ หรือปล่องอุโมงค์ เป็นพื้นที่ที่มีทางเข้าออกจำกัด ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการอยู่อาศัยของมนุษย์เป็นเวลานาน และที่สำคัญคือมักจะมีการระบายอากาศไม่เพียงพอ การเชื่อมในพื้นที่เหล่านี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะควันและก๊าซพิษจะสะสมตัวอยู่ในปริมาณสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการขาดออกซิเจน การสูดดมสารพิษในความเข้มข้นสูง และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
ห้ามทำการเชื่อมในพื้นที่จำกัดโดยเด็ดขาดหากไม่มีการระบายอากาศที่เพียงพอและเหมาะสม การทำงานในพื้นที่จำกัดต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เข้มงวด มีการประเมินความเสี่ยง การอนุญาตทำงาน (permit-to-work system) และการจัดหาอุปกรณ์ระบายอากาศแบบบังคับ (forced ventilation) ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้อากาศบริสุทธิ์หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ควรมีผู้เฝ้าระวังภายนอก (attendant) ตลอดเวลา เพื่อให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน
6. สวมเครื่องป้องกันสายตา หน้ากากเชื่อม และเครื่องป้องกันระบบทางเดินหายใจ
การควบคุมวิศวกรรม (เช่น ระบบระบายอากาศ) และการควบคุมทางการบริหารจัดการ (เช่น การทำความสะอาดพื้นผิว) เป็นสิ่งสำคัญ แต่การป้องกันส่วนบุคคลก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ไม่สามารถลดการสัมผัสควันจากการเชื่อมในระดับที่ปลอดภัยได้ด้วยวิธีอื่น ๆ
- เครื่องป้องกันสายตา: นอกจากหน้ากากเชื่อมแล้ว ควรพิจารณาสวมแว่นตานิรภัยหรือกระบังหน้าเพิ่มเติมเพื่อป้องกันเศษโลหะกระเด็นหรือประกายไฟที่อาจเป็นอันตรายต่อดวงตา
- หน้ากากเชื่อม: หน้ากากเชื่อมเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดในการป้องกันดวงตาและใบหน้าจากแสง UV/IR และประกายไฟ ปัจจุบันมีหน้ากากเชื่อมแบบปรับแสงอัตโนมัติ (auto-darkening helmet) ที่สะดวกและช่วยให้ช่างเชื่อมมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นก่อนเริ่มเชื่อม
- เครื่องป้องกันระบบทางเดินหายใจ: นี่คืออุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดในการป้องกันการสูดดมควันและก๊าซพิษ ประเภทของเครื่องป้องกันระบบทางเดินหายใจที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับชนิดและความเข้มข้นของสารปนเปื้อนในอากาศ:
- หน้ากากป้องกันฝุ่น (dust mask): เหมาะสำหรับฝุ่นละอองที่ไม่เป็นพิษร้ายแรง แต่ไม่เพียงพอสำหรับการป้องกันควันเชื่อม
- หน้ากากกรองอนุภาค (particulate respirator): เช่น N95, P100 สามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กในควันเชื่อมได้ แต่ไม่สามารถป้องกันก๊าซได้
- หน้ากากกรองสารเคมี (chemical cartridge respirator): มีไส้กรองที่สามารถดูดซับก๊าซและไอระเหยได้
- เครื่องช่วยหายใจแบบมีระบบจ่ายอากาศ (supplied-air respirator): เป็นอุปกรณ์ที่ให้การป้องกันสูงสุด โดยจะจ่ายอากาศบริสุทธิ์จากถังหรือแหล่งจ่ายอากาศภายนอก เหมาะสำหรับการทำงานในพื้นที่ที่มีความเข้มข้นของสารพิษสูงมาก หรือในพื้นที่จำกัด
การเลือกใช้เครื่องป้องกันระบบทางเดินหายใจที่เหมาะสมต้องผ่านการประเมินความเสี่ยงอย่างละเอียด โดยพิจารณาจากชนิดของโลหะที่เชื่อม สารเคลือบผิว กระบวนการเชื่อม และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ช่างเชื่อมทุกคนควรได้รับการฝึกอบรมการเลือกใช้ การสวมใส่ที่ถูกต้อง การตรวจสอบ และการบำรุงรักษาอุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจอย่างถูกวิธี
บทสรุป
การเชื่อมเป็นอาชีพที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านสุขภาพมากมาย แต่ด้วยความรู้ ความตระหนัก และการปฏิบัติตามแนวทางของ OSHA อย่างเคร่งครัด ช่างเชื่อมสามารถลดระดับการสัมผัสกับควันและก๊าซที่เป็นอันตรายได้อย่างมีนัยสำคัญ การลงทุนในระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ การทำความสะอาดพื้นผิว การสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เหมาะสม และการฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงแต่จะช่วยปกป้องสุขภาพและชีวิตของช่างเชื่อมเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและลดภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากปัญหาสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย ความปลอดภัยในการทำงานไม่ใช่เรื่องที่ต้องต่อรอง แต่เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุดเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยั่งยืนและปลอดภัยสำหรับทุกคน
คุณมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกำหนดด้านความปลอดภัยในการเชื่อมของ OSHA หรือไม่?
อ้างอิง: https://www.safetyandhealthmagazine.com/articles/14291-welding-fume-hazards